การดูแลพนักงานหญิงที่ตั้งครรภ์

สวัสดีครับวันนี้หมอบีจะมาชวนคุยเรื่องการดูแลสุขภาพของแม่และเด็กในโรงงาน หรือการดูแลพนักงานหญิงที่ตั้งครรภ์นั่นเองครับ เชื่อว่าในโรงงานหลายๆแห่งจะประสบปัญหาการที่ พนักงานหญิงตั้งครรภ์แล้วไม่แน่ใจว่าจะทำงานที่แผนกเดิมได้มั้ย หรือจะส่งไปทำงานอะไรได้บ้าง บ่อยครั้งที่หญิงตั้งครรภ์ถูกส่งไปทำงานที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์อาจทำให้เกิดความผิดปกติในการตั้งครรภ์ต่างๆ เช่นคลอดก่อนกำหนด ทารกพิการ แท้งบุตร แล้วงานไหนละที่ปลอดภัย?

วันนี้มีคำตอบมาให้ครับทั้งในส่วนของกฎหมาย และส่วนของการแพทย์ที่นอกเหนือกว่ากฎหมายระบุไว้

ก่อนจะอ่านรายละเอียดกันต่อแนะนำให้ไปกดไลค์ที่แฟนเพจ DoctorBee กันก่อนนะครับจะได้รู้จักกันครับ ^^

ภาพการทำงานเบาๆของสตรีมีครรภ์ จาก www.huffingtonpost.com

แม้แต่แพทย์แผนกสูตินรีเวชกรรม(หมอสูติ) และแพทย์แผนกกุมารเวช(หมอเด็ก) หลายท่านอาจมีข้อสงสัยว่างานของหมอสูติ และหมอเด็กมีความเกี่ยวข้องกับงานอาชีวอนามัยอย่างไร โรคจากการทำงานในเด็กและหญิงตั้งครรภ์มีด้วยเหรอ หมอบีจะเล่าให้ฟังอย่างนี้ครับ กฎหมายบ้านเราจะระบุไว้ว่าห้ามนายจ้างให้หญิงตั้งครรภ์ หรือสตรีมีครรภ์ทำงานหลายๆอย่าง เช่น ห้ามทำงานกะดึก(22.00 น.-6.00 น.) ห้ามทำงานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ ห้ามทำงานกับเครื่องจักรที่มีแรงสั่นสะเทือน นอกจากนี้ยังห้ามทำงานบางอย่างสำหรับเพศหญิงที่แม้ไม่ได้ตั้งครรภ์อยู่แล้วด้วยครับ เช่น  ห้ามทำงานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือไวไฟ ห้ามทำงานบนนั่งร้านตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป

แต่กฎหมายยังระบุไม่ครอบคลุมถึงงานอีกหลายๆอย่างที่เป็นอันตรายกับหญิงตั้งครรภ์ เช่นงานที่ต้องสัมผัสเสียงดังเพราะทารกในครรภ์ไม่สามารถสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันได้ใช่มั้ยล่ะครับ สารเคมีในการทำงานบางอย่างก็เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ อาจทำให้เกิดการแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือถ้าสัมผัสสารเคมีในช่วงที่ทารกในครรภ์กำลังสร้างอวัยวะสามารถทำให้พิการแต่กำเนิดได้ ท่าทางการทำงานบางอย่างก็ลำบากสำหรับหญิงตั้งครรภ์เพราะต้องแบกลูกไปทำงานไป ยิ่งอายุครรภ์เยอะๆยิ่งลำบากครับ หมอบีว่ากฎหมายไม่ระบุครอบคลุมถึงรายละเอียดเหล่านี้ทำให้พนักงานหญิงที่ตั้งครรภ์มีโอกาสถูกนายจ้างส่งไปทำงานเสี่ยงอันตรายต่อทั้งตัวเองและทารกในครรภ์โดยไม่รู้เท่าถึงการณ์ หรือรู้แล้วก็ยังจะบังคับให้ไปทำได้ครับ

ภาพ Baby playing inside womb จาก www.youtube.com

หมอสูติจะมีบทบาทในการป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้ครับ ถ้ามีการซักถามลักษณะการทำงานในระหว่างที่มาฝากครรภ์เพื่อประเมินว่างานที่ทำนั้นปลอดภัยกับแม่และเด็กในครรภ์หรือไม่ ถ้าเห็นว่าอาจไม่ปลอดภัยหมอสูติสามารถออกใบรับรองแพทย์ให้พนักงานที่มาฝากครรภ์นำไปยื่นให้กับทางโรงงานได้ครับ ว่าขณะนี้ตั้งครรภ์อยู่ควรหลีกเลี่ยงลักษณะการทำงานอย่างไรบ้าง เช่น การยกของ หนัก ท่าทางก้มๆเงยๆ บิดเอี้ยวลำตัว การทำงานสัมผัสสารเคมี การทำงานสัมผัสเสียงดัง จะเห็นว่าหมอสูติมีบทบาทอย่างมากในการป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับทารกในครรภ์ และตัวของสตรีมีครรภ์เองนะครับ

สำหรับหมอเด็กไม่อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปป้องกันโรคจากการทำงานได้โดยตรงแต่จะเป็นผู้ดูแลเด็กทารกที่คลอดอกมาผิดปกติในรูปแบบต่างๆครับ ไม่ว่าจะเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด เด็กพิการแต่กำเนิด เด็กมีปัญหาเรื่องพัฒนาการช้า ซึ่งความผิดปกติจากการคลอดเหล่านี้อาจเป็นผลมาจากการทำงานที่เสี่ยงอันตรายขณะที่ตั้งครรภ์ จะเห็นว่า

หมอเด็กจะทำได้ในรูปแบบของการรวบรวมข้อมูลความผิดปกติที่เกิดจากการตั้งครรภ์และการคลอดส่งให้หมอสูติ และหมออาชีวเวชศาสตร์เหมือนหมอบีเพื่อลงไปดำเนินการป้องกันให้กับหญิงตั้งครรภ์รายอื่นๆที่ทำงานในลักษณะเดียวกันอีกทีครับ นอกจากนี้หมอเด็กยังต้องคอยรักษาเด็กที่มีความผิดปกติต่างๆที่เกิดจากการทำงานของพ่อแม่อีกครับ เช่นถ้าพ่อหรือแม่ของเด็กไปทำงานกับสารตะกั่วแล้วมีสารตะกั่วติดตัวมาจากที่ทำงานและนำกลับมาที่บ้าน เด็กก็สามารถสัมผัสสารตะกั่วที่ปนเปื้อนมาได้ 

ภาพการให้นมบุตร จาก www.ibtimes.co.uk

อีกตัวอย่างที่หมอบีคิดว่าเห็นได้ชัดคือ ถ้าแม่ที่ทำงานสัมผัสสารตะกั่วมาให้นมลูกที่บ้าน เด็กสามารถได้รับสารตะกั่วผ่านทางน้ำนมของแม่เข้าสู่สมองได้โดยตรง ทำให้ระดับสติปัญญาของเด็กลดต่ำลง เด็กจะมีปัญหาเรื่องพัฒนาการช้าได้ครับ หมอบีสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมของแม่นะครับ และสนับสนุนให้แม่ทุกคนทำงานที่ปลอดภัยต่อสุขภาพของตนเองและครอบครัวด้วยครับ

โดยสรุปแล้วงานที่คนตั้งท้องไม่ควรทำจะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่ถูกห้ามตามกฎหมายทั้งสำหรับสตรีและสตรีมีครรภ์ และกลุ่มที่ไม่ถูกห้ามตามกฎหมายแต่มีข้อมูลทางการแพทย์ชัดเจนว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของแม่และเด็ก และสถานประกอบการควรวางระบบดูแลการทำงานของพนักงานหญิงตั้งครรภ์โดยคำนึงถึงทั้งสองกลุ่มนี้ครับ

เชิญทำความรู้จักกับหมอบีได้ที่นี่ครับ รู้จักกับ"DOCTOR BEE"

หรือติดต่อหมอบีเชิญที่นี่เลยครับ ติดต่อ "DOCTOR BEE"